องค์ประกอบหลัก
สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้สร้างงานจำนวนมาก และเป็นงานศิลปะ ที่มีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ ความงดงาม และคุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้ คือ
1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และ
สิ่งแวดล้อม
3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน
ในที่นี้งานสถาปัตยกรรมเนื่องในศาสนาอิสลามแสดงให้เห็นความสามารถในการสร้างสรรค์องค์ประกอบที่สำคัญได้อย่างได้อย่างเหมาะสมและมีการพัฒนาการอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยเฉพาะในส่วนของระบบรองรับโดม ซึ่งในส่วนของศาสนาอิสลามนั้นก็เป็นเช่นเดียวกันกับวิวัฒนาการด้านศิลปะอื่นคือ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้ประโยชน์ของโดม ทั้งลักษณะภายนอกและภายในตัวโดม ลักษณะภายนอกนั้นก็เพื่อประโยชน์ในทางการดึงดูดใจและสร้างพลังการมองเห็นแม้จากในระยะไกลจากศาสนสถาน และตรึงใจผู้ที่เข้ามาในมัสยิด หรือสุสานก็ตาม
โดมและระบบรองรับโดมนั้นแต่เดิมสร้างขึ้นด้วยเครื่องไม้เป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีความนิยมในการสร้างโดมด้วยอิฐในราชวงศ์อับบาซิด (Abbasid) แล้ว การสร้างโดมด้วยอิฐจึงกลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างโดมของทั่วทั้งดินแดนอิสลาม รวมถึงความนิยมในการสร้างโดมด้วยหินในดินแดนซีเรีย(Syria)และอียิปต์ ที่แผ่ไปจนถึงอินเดีย[1]
จากลักษณะของวัสดุที่ใช้ก่อสร้างโดมที่มีน้ำหนักมาก ดังนั้นส่วนรองรับโดมจึงมีความสำคัญเกิดขึ้น เพื่อที่จะรองรับและสร้างความมั่นคงให้กับตัวโดม ระบบรองรับโดมมีอยู่สองแบบหลัก ๆ คือ
1.ระบบเพนเด็นทีฟ (Pendentives)
2.ระบบสควินช์ (Squinches)
ในส่วนของระบบรองรับโดมนี้เองที่ช่างพยายามประดับตกแต่งส่วนประดับประดาเพิ่อสร้างแรงดึงดูดใจบนส่วนโค้ง และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ที่มัสยิดหลวงแห่งคอร์โดบา (Cordova) ก็ปรากฏการประดับประดาด้วยองค์ประกอบที่เรียกว่ามูการ์นาที่เริ่มมีความซับซ้อน และสวยงามอย่างมากแล้ว และองค์ประกอบนี้ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหน้าที่หลักของส่วนรองรับโดมและหลังคาเพดานที่จะต้องแสดงรายละเอียดการประดับตกแต่งอย่างละเอียดพิสดาร[2]
มูการ์นา (Muqarnas)
ระบบมูการ์นาเป็นส่วนหนึ่งของระบบรองรับหลังคาทรงโดม เป็นส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นการประดับตกแต่งที่มีพื้นฐานมาจากหน้าที่การรองรับน้ำหนักของหลังคาโดม จนกลายมาเป็นส่วนตกแต่งประดับประดาที่จำเป็นไปในที่สุด และในราวคริสต์วรรษที่ 15 หลังคาที่ถูกประดับประดาด้วยมูการ์นานี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานสถาปัตยกรรมในศาสนาอิสลาม[3]
ประวัติการกำเนิดและการเริ่มสร้างมูการ์นานั้นยังไม่มีความชัดเจน แต่น่าจะมีที่มาจากโครงสร้างของระบบหลังคาที่สร้างด้วยอิฐนี่เอง เช่นเดียวกับที่พัฒนาการของหลังคาสถาปัตยกรรมประเทศอิรักและอิหร่าน ตัวอย่างของมูการ์นาที่เก่าที่สุดนั้นน่าอยู่ที่ รัคคา (Ragga) ในดินแดนซีเรีย (Syria) กำหนดอายุประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 [4]
ลักษณะพื้นฐานของมูการ์น่านั้นมาจากระบบสควินช์ (Squinch) ในรูปของมุมโค้งเล็กรูปเปลือกหอย ที่หากมีปรากฏเพียงมุมเดียวนั้นขาดความลื่นไหลต่อความรับรู้ทางสายตา จึงมีความพยายามที่จะสร้างจังหวะและความต่อเนื่องของส่วนรองรับโดมที่โดยมากมีพื้นฐานอยู่ในทรงสี่เหลี่ยม กับส่วนของตัวโดมและคอโดมที่อยู่ในพื้นที่แบบทรงกลม ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่แตกต่างกันนี่เองที่ทำให้ช่างมีความต้องการที่จะสร้างจังหวะในการเปลี่ยนแปลง[5] ระบบนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในสถาปัตยกรรมอิสลาม ด้วยรูปร่างรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับรูปลักษณะของ หินย้อย ทำให้ตัวมูการ์นานั้นมีลักษณะที่แสดงถึงความคงที่ในขณะเดียวกันก็มีจังหวะที่ลื่นไหลอยู่ด้วย
การกลายมาเป็นส่วนประดับตกแต่ง
ลักษณะอีกประการหนึ่งที่ตัวของมูการ์นาแสดงออกมาจากความเคลื่อนไหวและคงที่ในคราวเดียวกันก็คือ ความเกี่ยวพันกันระหว่างตัวโดมกับส่วนรองรับโดม หรือความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงของพื้นที่ทรงกลมกับรูปทรงของพื้นที่ทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งเป็นนัยยะของการแบ่งเขตหรือความขัดแย้งที่ยู่บนพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์กันปรากฏอยู่ เช่นเดียวกันกับแสงสว่างกับความมืด หรือ ความเย็นกับความร้อน ซึ่งมีความคลุมเครือระหว่างพื้นที่ในการรับรู้ความรู้สึกที่เราไม่สามารถแบ่งแยกหรือตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าจุดตัดอยู่ตรงไหน ในจุดนี้ตัวลักษณะของความรับรู้ที่คลุมเครือนี้เองอาจแสดงให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับ ความเป็นโลกมนุษย์ด้วยลักษณะที่ให้ความรู้สึกถึงความธรรมดาทั่วไปแบบรูปทรงสี่เหลี่ยม และสวรรค์ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าจากลักษณะแบบรวงผึ้งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจอีกด้วย
ในบางครั้งตัวของมูการ์นาก็มีลักษณะที่มีจังหวะช่องไฟกว้างแลดูหนา หนักซึ่งมักจะอยู่ในช่วงระยะแรกของพัฒนาการของมูการ์นา จะเห็นได้อย่งชัดเจนว่าเมื่อในระยะหลังของพัฒนาการและความนิยมในการทำมูการ์นานั้นแพร่ขยายออกไป ความละเอียดและความวิจิตรพิสดารของของลักษณะของมูการ์นานั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นที่ Alhambra, Court of Lions pavilion Granada ที่ประเทศสเปน ที่กำหนดอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในช่วงของการแผ่ขยายตัวอย่างสูงสุดของความนิยมในการทำมูการ์นา ที่การทำมูการ์นานั้นไม่ได้ทำเฉพาะส่วนของการประดับตกแต่งวงโค้งเปลือกหอย แต่ตัวมูการ์นานั้นแผ่ขยายและปกคลุมจนเต็มพื้นที่ของหลังคาโดม รวมไปถึงรูปร่างและการประดับประดาลวดลายตกแต่งที่มีความหลากหลายอย่างมาก
ในที่สุดแล้วความนิยมในการทำมูการ์นานั้นก็แผ่ขยายออกไปอย่างมาก ไม่เฉพาะแต่การทำมูการ์นาเพื่อสร้างความต่อเนื่องระหว่างตัวโดมกับส่วนรองรับโดมเพียงเท่านั้น มูการ์นากลายมาเป็นองค์ประกอบของเกือบจะทุก ๆ ส่วนของงานสถาปัตยกรรมอิสลามอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหอคอย ส่วนรองรับโดมภายนอก คอโดม บัวหัวเสา และในทุก ๆ ที่ที่มีวงโค้งปรากฏอยู่ รวมไปถึงประตูทางเข้าด้านหน้า (Pishtaq)
ที่มาข้อมูล
- Bruckhardt, Titus. Art of Islam : Language and Meaning. Westerham, Kent : Worla of Islam Festival Publishing Company Ltd., c1976
- Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990
เชิงอรรถ
[1] Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990, p. 31
[2] Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990, p. 69
[3] Ibid, p. 69
[4] Bruckhardt, Titus. Art of Islam : Language and Meaning. Westerham, Kent : Worla of Islam Festival Publishing Company Ltd., c1976, p. 73
[5] Ibid, p. 70 - 73
สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้สร้างงานจำนวนมาก และเป็นงานศิลปะ ที่มีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ ความงดงาม และคุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้ คือ
1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และ
สิ่งแวดล้อม
3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน
ในที่นี้งานสถาปัตยกรรมเนื่องในศาสนาอิสลามแสดงให้เห็นความสามารถในการสร้างสรรค์องค์ประกอบที่สำคัญได้อย่างได้อย่างเหมาะสมและมีการพัฒนาการอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยเฉพาะในส่วนของระบบรองรับโดม ซึ่งในส่วนของศาสนาอิสลามนั้นก็เป็นเช่นเดียวกันกับวิวัฒนาการด้านศิลปะอื่นคือ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้ประโยชน์ของโดม ทั้งลักษณะภายนอกและภายในตัวโดม ลักษณะภายนอกนั้นก็เพื่อประโยชน์ในทางการดึงดูดใจและสร้างพลังการมองเห็นแม้จากในระยะไกลจากศาสนสถาน และตรึงใจผู้ที่เข้ามาในมัสยิด หรือสุสานก็ตาม
โดมและระบบรองรับโดมนั้นแต่เดิมสร้างขึ้นด้วยเครื่องไม้เป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีความนิยมในการสร้างโดมด้วยอิฐในราชวงศ์อับบาซิด (Abbasid) แล้ว การสร้างโดมด้วยอิฐจึงกลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างโดมของทั่วทั้งดินแดนอิสลาม รวมถึงความนิยมในการสร้างโดมด้วยหินในดินแดนซีเรีย(Syria)และอียิปต์ ที่แผ่ไปจนถึงอินเดีย[1]
จากลักษณะของวัสดุที่ใช้ก่อสร้างโดมที่มีน้ำหนักมาก ดังนั้นส่วนรองรับโดมจึงมีความสำคัญเกิดขึ้น เพื่อที่จะรองรับและสร้างความมั่นคงให้กับตัวโดม ระบบรองรับโดมมีอยู่สองแบบหลัก ๆ คือ
1.ระบบเพนเด็นทีฟ (Pendentives)
2.ระบบสควินช์ (Squinches)
ในส่วนของระบบรองรับโดมนี้เองที่ช่างพยายามประดับตกแต่งส่วนประดับประดาเพิ่อสร้างแรงดึงดูดใจบนส่วนโค้ง และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ที่มัสยิดหลวงแห่งคอร์โดบา (Cordova) ก็ปรากฏการประดับประดาด้วยองค์ประกอบที่เรียกว่ามูการ์นาที่เริ่มมีความซับซ้อน และสวยงามอย่างมากแล้ว และองค์ประกอบนี้ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหน้าที่หลักของส่วนรองรับโดมและหลังคาเพดานที่จะต้องแสดงรายละเอียดการประดับตกแต่งอย่างละเอียดพิสดาร[2]
มูการ์นา (Muqarnas)
ระบบมูการ์นาเป็นส่วนหนึ่งของระบบรองรับหลังคาทรงโดม เป็นส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นการประดับตกแต่งที่มีพื้นฐานมาจากหน้าที่การรองรับน้ำหนักของหลังคาโดม จนกลายมาเป็นส่วนตกแต่งประดับประดาที่จำเป็นไปในที่สุด และในราวคริสต์วรรษที่ 15 หลังคาที่ถูกประดับประดาด้วยมูการ์นานี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานสถาปัตยกรรมในศาสนาอิสลาม[3]
ประวัติการกำเนิดและการเริ่มสร้างมูการ์นานั้นยังไม่มีความชัดเจน แต่น่าจะมีที่มาจากโครงสร้างของระบบหลังคาที่สร้างด้วยอิฐนี่เอง เช่นเดียวกับที่พัฒนาการของหลังคาสถาปัตยกรรมประเทศอิรักและอิหร่าน ตัวอย่างของมูการ์นาที่เก่าที่สุดนั้นน่าอยู่ที่ รัคคา (Ragga) ในดินแดนซีเรีย (Syria) กำหนดอายุประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 [4]
ลักษณะพื้นฐานของมูการ์น่านั้นมาจากระบบสควินช์ (Squinch) ในรูปของมุมโค้งเล็กรูปเปลือกหอย ที่หากมีปรากฏเพียงมุมเดียวนั้นขาดความลื่นไหลต่อความรับรู้ทางสายตา จึงมีความพยายามที่จะสร้างจังหวะและความต่อเนื่องของส่วนรองรับโดมที่โดยมากมีพื้นฐานอยู่ในทรงสี่เหลี่ยม กับส่วนของตัวโดมและคอโดมที่อยู่ในพื้นที่แบบทรงกลม ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่แตกต่างกันนี่เองที่ทำให้ช่างมีความต้องการที่จะสร้างจังหวะในการเปลี่ยนแปลง[5] ระบบนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในสถาปัตยกรรมอิสลาม ด้วยรูปร่างรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับรูปลักษณะของ หินย้อย ทำให้ตัวมูการ์นานั้นมีลักษณะที่แสดงถึงความคงที่ในขณะเดียวกันก็มีจังหวะที่ลื่นไหลอยู่ด้วย
การกลายมาเป็นส่วนประดับตกแต่ง
ลักษณะอีกประการหนึ่งที่ตัวของมูการ์นาแสดงออกมาจากความเคลื่อนไหวและคงที่ในคราวเดียวกันก็คือ ความเกี่ยวพันกันระหว่างตัวโดมกับส่วนรองรับโดม หรือความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงของพื้นที่ทรงกลมกับรูปทรงของพื้นที่ทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งเป็นนัยยะของการแบ่งเขตหรือความขัดแย้งที่ยู่บนพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์กันปรากฏอยู่ เช่นเดียวกันกับแสงสว่างกับความมืด หรือ ความเย็นกับความร้อน ซึ่งมีความคลุมเครือระหว่างพื้นที่ในการรับรู้ความรู้สึกที่เราไม่สามารถแบ่งแยกหรือตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าจุดตัดอยู่ตรงไหน ในจุดนี้ตัวลักษณะของความรับรู้ที่คลุมเครือนี้เองอาจแสดงให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับ ความเป็นโลกมนุษย์ด้วยลักษณะที่ให้ความรู้สึกถึงความธรรมดาทั่วไปแบบรูปทรงสี่เหลี่ยม และสวรรค์ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าจากลักษณะแบบรวงผึ้งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจอีกด้วย
ในบางครั้งตัวของมูการ์นาก็มีลักษณะที่มีจังหวะช่องไฟกว้างแลดูหนา หนักซึ่งมักจะอยู่ในช่วงระยะแรกของพัฒนาการของมูการ์นา จะเห็นได้อย่งชัดเจนว่าเมื่อในระยะหลังของพัฒนาการและความนิยมในการทำมูการ์นานั้นแพร่ขยายออกไป ความละเอียดและความวิจิตรพิสดารของของลักษณะของมูการ์นานั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นที่ Alhambra, Court of Lions pavilion Granada ที่ประเทศสเปน ที่กำหนดอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในช่วงของการแผ่ขยายตัวอย่างสูงสุดของความนิยมในการทำมูการ์นา ที่การทำมูการ์นานั้นไม่ได้ทำเฉพาะส่วนของการประดับตกแต่งวงโค้งเปลือกหอย แต่ตัวมูการ์นานั้นแผ่ขยายและปกคลุมจนเต็มพื้นที่ของหลังคาโดม รวมไปถึงรูปร่างและการประดับประดาลวดลายตกแต่งที่มีความหลากหลายอย่างมาก
ในที่สุดแล้วความนิยมในการทำมูการ์นานั้นก็แผ่ขยายออกไปอย่างมาก ไม่เฉพาะแต่การทำมูการ์นาเพื่อสร้างความต่อเนื่องระหว่างตัวโดมกับส่วนรองรับโดมเพียงเท่านั้น มูการ์นากลายมาเป็นองค์ประกอบของเกือบจะทุก ๆ ส่วนของงานสถาปัตยกรรมอิสลามอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหอคอย ส่วนรองรับโดมภายนอก คอโดม บัวหัวเสา และในทุก ๆ ที่ที่มีวงโค้งปรากฏอยู่ รวมไปถึงประตูทางเข้าด้านหน้า (Pishtaq)
ที่มาข้อมูล
- Bruckhardt, Titus. Art of Islam : Language and Meaning. Westerham, Kent : Worla of Islam Festival Publishing Company Ltd., c1976
- Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990
เชิงอรรถ
[1] Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990, p. 31
[2] Atasoy, Nurhan. Bahnassi, Afif. And Roger, Michael. The Art of Islam. Unesco and Flammarion, c1990, p. 69
[3] Ibid, p. 69
[4] Bruckhardt, Titus. Art of Islam : Language and Meaning. Westerham, Kent : Worla of Islam Festival Publishing Company Ltd., c1976, p. 73
[5] Ibid, p. 70 - 73

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น